ค้นหาบล็อกนี้

23 พ.ย. 2554

0 ฉันเก็บของมีค่าได้...จากกระแสน้ำไหล โดยอาจารย์ระพี



          สถานการณ์น้ำท่วมขณะนี้ จริงอยู่ว่าที่บางพื้นที่อาจจะดูเหมือนคลี่คลายลงไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าในบางพื้นที่ก็ยังคงวิกฤติอยู่ เพราะยังมีประชาชนจำนวนมากได้รับความเดือดร้อน ทำให้ ศ.ระพี สาคริก ได้เขียนบทความที่มีชื่อว่า "ฉันเก็บของมีค่าได้จากกระแสน้ำไหล ถ้าเป็นของใครกรุณามาแสดงหลักฐาน" ในวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
 
          หลังจากที่อ่านจบ ก็ทำให้ค้นพบสัจธรรมข้อหนึ่งว่า ทุกอย่างนั้นมีสองด้านเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเรียนรู้และทำความเข้าใจในด้านที่เป็นอยู่ได้มากแค่ไหน เช่น ถ้าไม่รู้จักความทุกข์ ก็จะไม่รู้จักความสุข เช่นเดียวกับสถานการณ์น้ำท่วม ถ้าคนเราไม่รู้จักปัญหาน้ำท่วม ก็จะไม่รู้จักวิธีการแก้ปัญหาในเงื่อนไขที่เป็นอยู่นั่นเอง
 



ฉันเก็บของมีค่าได้จากกระแสน้ำไหล
 
ถ้าเป็นของใครกรุณามาแสดงหลักฐาน
 
          เธอที่รักทุกคน ขณะนี้น้ำท่วมเต็มตลิ่งมานานมากแล้วต่างก็เดือดร้อนหนัก เพราะคิดว่าตัวเองก็คงอยู่ต่อไปได้ยาก แล้วในที่สุดก็คงต้องจมน้ำตาย หรือไม่ก็ประสบกับความเสียหายอย่างหนัก ทั้งนี้เพราะกระแสน้ำมันไหลแรงยิ่งขึ้นทุกที จนกระทั่งทำให้อาคารบ้านเรือนซึ่งเป็นของท้องถิ่นจะต้องพังทลายเสียหายไปในที่สุด
 
          เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้หลายคนจำต้องนั่งกอดเข่าด้วยความรู้สึกเป็นทุกข์เพิ่มมากยิ่งขึ้น
 
          ความจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเปลี่ยนแปลงอยู่บนโลกใบนี้ ต่างก็ให้โอกาสแก่มนุษย์ ในการนำไปสู่วิถีทางที่สร้างสรรค์ แต่คนเรานั้นมักมีแนวโน้มมองปัญหาต่างๆ ด้วยความทุกข์ร้อน โดยไม่สามารถใช้ปัญญาตนเองให้บังเกิดเงื่อนไขที่มีความสุขได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ
 
          บางคนถึงกับคิดในด้านดีว่า ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ถ้าเรามีแต่การมอบให้ซึ่งกันและกัน ย่อมช่วยให้ทุกคนมองเห็นความดีของสิ่งเหล่านั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ
 
          แม้แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ที่มันเกิดขึ้นและมีผลทำให้สังคมไทยจำต้องพบกับความเสียหายอย่างหนัก
 
          เหตุไฉนตัวเธอเองมองสิ่งต่างๆ ในด้านดีไม่เป็น แม้แต่เรื่องดวงตราของกรมไปรษณีย์ รวมทั้งดวงตราที่ติดอยู่หน้าศาลยุติธรรมเป็นรูปตาชั่ง ซึ่งนั่นแหละคือสิ่งที่บ่งบอกถึงความยุติธรรมในสังคมไทยเช่นนี้เป็นต้น
 
          “เมื่อไม่รู้สิ่งนี้ก็ย่อมปฏิเสธที่จะรู้สิ่งนั้น” ดังนั้น ถ้าไม่รู้สึกเจ็บปวดเพราะกระแสน้ำท่วมว่ามันเป็นผลดีแก่การคิดแก้ไขปัญหาที่ปรากฏออกมาในสังคมปัจจุบัน ดังนั้น ถ้ามองเห็นปัญหาอื่นใดก็ตามที่มันคัดค้านกันเองแบบนี้ จึงเท่ากับว่าให้คนที่รู้เท่าทันหันไปคิดอีกด้านหนึ่ง
 
          ดังนั้น ถ้าด้านหนึ่งเสียหายหนัก อีกด้านหนึ่งก็ย่อมดีขึ้น แม้แต่เหตุการณ์น้ำท่วมที่มันทำให้คนไทยจำต้องเผชิญกับความทุกข์ ในที่สุดคนที่เผชิญกับสภาพดังกล่าวก็จำต้องหวนกลับมาแลเห็นว่า ในที่สุดทุกคนก็ต้องพบกับความสุขได้จากการนำปฏิบัติโดยไม่รู้สึกว่ามันยากหรือเปล่า
 
          ฉันอยากจะสรุปให้เธอฟังในเรื่องดังกล่าว เช่นว่า
 
          ถ้าเธอพบว่าด้านหนึ่งเบากว่าอีกด้านหนึ่ง เธอย่อมนำมาใช้แก้ไขปัญหาในสังคมได้ไม่ยาก
 
          ถ้าน้ำมันมาแรงก็ย่อมช่วยให้สภาพภายในสังคมมันดียิ่งขึ้น
 
          เหมือนอย่างกับที่พูดฝากไว้ว่า “การจะรู้เธอค่าของสีขาว ตัวเองจะต้องสนใจเรียนรู้จากสีดำไปก่อน”
 
          เพราะฉะนั้นถ้าเธออยากเรียนรู้สีขาว เราก็ต้องกล้าเผชิญกับสีดำ ถ้าต้องการความสบายเราก็ต้องเรียนรู้จากความยากลำบาก
 
          ฉันเชื่อว่า ยังมีเรื่องราวอีกมากมายหลายอย่าง ที่สะท้อนผลให้เธอนำไปคิดค้นคว้าหาความจริงได้จากปัญหาน้ำท่วม
 
          เวลานี้คนหนีความยากลำบากไปเข้าวัด คนเหล่านี้น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่เคยรู้เธอค่าของความยากลำบากมาแต่อดีต
 
          การที่ฉันนำเรื่องนี้หยิบยกมาพูด ก็เพราะตัวเองได้ผ่านความยากลำบากมาจนกระทั่งรู้สึกว่า มันน่าสนใจที่เราจะก้าวเข้าไปหามันทุกเรื่อง
 
          หลักธรรมท่านก็ได้ชี้ไว้แล้วว่า “วิถีการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏอยู่บนโลกใบนี้นั้น มีการหมุนวนเป็นวัฏจักร เพราะฉะนั้นถ้าต้องการพบความสุขที่แท้จริง เหตุไฉนจึงกลัวความทุกข์ถึงขนาดหนีไปเข้าวัด”
 
          ฟังแล้วทำให้ฉันรู้สึกสงสารเป็นอย่างยิ่ง หันมามองดูด้านหลังซิเธอ ว่า “คนที่เขาเคารพเราจากใจจริงนั้นเขากำลังยกมือไหว้อยู่ด้านหลังโดยไม่จำเป็นต้องให้เธอเห็น”
 
          แม้แต่เพลงพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ชื่อความฝันอันสูงสุดก็ยังมีเนื้อร้องตอนหนึ่งว่า “ให้ปิดทองหลังพระ”
 
          เมื่อพูดถึงหลักธรรม แท้จริงแล้วมันอยู่ใกล้ๆ จิตใจเธอเองนั่นแหละ ถ้ารู้จักหวนกลับมาค้นหาด้านหลังให้ได้ เธอก็คงจะพบความสวยงามน่าประทับใจรออยู่ด้านหน้า
 
          ถ้าฉันจะขออนุญาตพูดว่า หากต้องการแก้ปัญหาชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ ก็ต้องหันไปคิดแก่ไขในชนบท
 
          ถ้าเธอเห็นว่าบ้านนี้เมืองนี้มันมีสีดำ เธอก็ควรหวนกลับมาทำให้จิตใจเธอเองเป็นสีขาวให้ได้
 
          ถ้าเธอต้องการแก้ไขปัญหาความร้อน เธอก็ควรสร้างสมความเย็นขึ้นในใจเธอเอง และนี่เธอกำลังแก้ปัญหาน้ำท่วม หากเธอไม่หวนกลับมาคิดแก้ไขกระแสน้ำที่มันอยู่ในใจเธอเองให้ปรับเปลี่ยนมาเป็นน้ำเย็นเพื่อมอบให้เพื่อนมนุษย์ น้ำที่อยู่ภายนอกมันก็คงจะเย็นได้ยาก
 
          ไหนว่าบ้านนี้เมืองนี้มีแต่คนยิ้มแย้ม แต่ถ้าใจเธอมันยิ้มไม่ออกแล้วใครเขาจะมาคบเธอเป็นมิตร
 
          คนทุกวันนี้ส่วนใหญ่มีใจร้อนรน เพราะความไม่รู้จักพอเพียง หลังจากได้เท่านี้ก็จะเอาเท่านั้น หลังจากได้เท่านั้นก็จะเอาเท่าโน้นต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้จักหยุดคิด เพื่อให้จิตใจมันสงบเย็นได้แล้ว เธอจะไปมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ยังไงกัน ทั้งนี้เพราะความอดทนที่อยู่ในใจเธอเองมันก็ไม่มี กระทั่งพบน้ำท่วมแล้วเกิดความทุกข์หนักก็วิ่งหนีความทุกข์เข้าไปอาศัยวัดเป็นเครื่องดับทุกข์โดยไม่คิดด้วยสติว่า การดับทุกข์นั้นอยู่ที่ไหนก็ดับได้ ยิ่งพบน้ำท่วมหนักก็ควรรู้สึกท้าทายที่ลุกขึ้นมายืนดับทุกข์ตรงนั้นให้ได้
 
          นี่แหละที่เขาว่า “มนุษย์ควรเรียนรู้จากของจริง”
 
          มาลีสีเริ่มเปลี่ยนเป็นเหลือง           
 
          เหลือบสีทองรองเรือง
 
          อันเนื่องมาจากดวงตะวัน               
 
          หมู่วิหกต่างร้องระงม                      
 
          ระดมจับฝูงสูงลิบ
 
          โผผินบินกลับไปสู่รัง
 
          ผ่านไปสู่ยังฝรั่งคงคาวารี
 
  
ระพี  สาคริก
 
19 พฤศจิกายน 2554




เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก  rapee.org
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ignite.in.th  , WitthayaP/Shutterstock.com

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 

S4MuRaIz Download Copyright © 2011 - |- Template created by O Pregador - |- Powered by Blogger Templates